top of page
บิตคอยน์ (Bitcoin) คืออะไร เงินยุคดิจิทัลในโลกออนไลน์...โอกาสหรือความเสี่ยง
เป็นเรื่องที่เป็นกระแสความสนใจมาแรงมากในขณะนี้กับสกุลเงินรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “บิตคอยน์ (Bitcoin)” หลังจากมีการพูดถึงกันเป็นวงกว้างว่า บิตคอยน์อาจจะเปลี่ยนระบบการเงินของโลกไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งต้องบอกก่อนว่าบิตคอยน์ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย เพราะถูกคิดค้นมาตั้งแต่ปี 2552 หรือกว่า 9 ปีมาแล้ว
โดยบิตคอยน์เริ่มมาเป็นกระแสในเมืองไทย เนื่องจากมีกลุ่มแฮกเกอร์ได้ปล่อยไวรัสเรียกค่าไถ่ "WannaCry" ซึ่งได้เรียกเก็บเงินกับผู้ที่ติดไวรัสเป็นสกุลเงินบิตคอยน์ ทำให้สกุลเงินนี้เป็นที่พูดถึงกันอย่างมาก จนมีมูลค่าพุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเมื่อเดือนธันวาคม 2560 แม้ว่าหลังจากนั้นไม่นาน ราคาบิตคอยน์จะค่อย ๆ ร่วงลงและมีความผันผวนเป็นอย่างมาก จนเริ่มเกิดกระแสความกังวลเป็นวงกว้างถึงภาวะฟองสบู่แตกในตลาดบิตคอยน์
หลายคนคงเริ่มสงสัยแล้วว่าบิตคอยน์คืออะไร มาจากไหน ใครเป็นผู้คิดค้น และมีความสำคัญยังไง วันนี้กระปุกดอทคอม มีคำตอบมาฝากกันครับ
บิตคอยน์ (Bitcoin) คืออะไร ?
บิตคอยน์ (Bitcoin) คือ สกุลเงินสมมติที่ถูกสร้างขึ้นในรูปแบบดิจิทัล เพื่อเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ โดยไม่ขึ้นกับสกุลเงินใด ๆ ไม่มีรูปร่างและไม่สามารถจับต้องได้เหมือนธนบัตรหรือเหรียญทั่วไป โดยบิตคอยน์มีหน่วยเงินตราเป็น BTC เหมือน ๆ กับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ใช้หน่วยเงินตราเป็น USD สกุลเงินเยนของญี่ปุ่นที่ใช้ JPY หรือสกุลเงินบาทไทยที่ใช้เป็น THB นั่นเอง ซึ่งบิตคอยน์ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2552 และเริ่มถูกนำไปใช้แลกเปลี่ยนซื้อ-ขายสินค้ากันจริง ๆ ในโลกออนไลน์ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ทั้งนี้ บิตคอยน์ถือว่าเป็นเงินตราอิเล็กทรอนิกส์ (Cryptocurrency) สกุลหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมีสกลุเงินอื่น ๆ อีกมากมายที่ถูกคิดค้นขึ้นมา อาทิ สกุลเงิน Ethereum ที่ใช้ตัวย่อว่า ETH, สกุลเงิน Ripple ที่ใช้ตัวย่อว่า XRP และสกุลเงิน Litecoin ที่ใช้ตัวย่อว่า LTC แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบิตคอยน์ยังคงเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมสูงสุด
1. Bitcoin (BTC)
แน่นอน Bitcoin เป็นเงินดิจิทัลที่หลายคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว เพราะเป็นสกุลแรกของโลกที่ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อปี 2552 โดยโปรแกรมเมอร์ชาวญี่ปุ่นที่ใช้นามแฝงว่า "ซาโตชิ นากาโมโต้" ซึ่ง Bitcoin จะทำงานภายใต้ระบบที่เรียกว่า Blockchain เพื่อช่วยป้องกันการปั๊มเงินออกมาเรื่อย ๆ ตามใจชอบ โดยกำหนดปริมาณเงินในระบบไว้ไม่เกิน 21 ล้านหน่วย จะได้ไม่เกิดภาวะเงินเฟ้ออย่างรวดเร็วนั่นเอง
และถึงแม้ปัจจุบันจะมีเงินดิจิทัลออกมามากมาย แต่ Bitcoin ก็ยังเป็นเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมจากนักลงทุน และได้รับการยอมรับในซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนมากที่สุดอยู่ดี ด้วยมูลค่าการตลาดปัจจุบัน (เดือนมิถุนายน 2561) ที่ทะลุ 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 32 ล้านล้านบาท) ไปแล้ว ทิ้งห่างคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว
2. Bitcoin Cash (BCH)
สิ่งที่น่าสนใจของ Bitcoin Cash คือ เป็นสกุลเงินที่ทีมพัฒนาแยกตัวออกมาจาก Bitcoin เพราะต้องการสกุลเงินดิจิทัลที่มีค่าโอนถูกลง แต่โอนได้รวดเร็วขึ้น จึงตัดสินใจออกมาสร้างสกุลเงินใหม่ในปี 2560 ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่นาน Bitcoin Cash ก็ได้รับการยอมรับและประสบความสำเร็จอย่างมาก จนกลายเป็นเงินดิจิทัลมาแรงที่มีมูลค่าตลาดสูงติดอันดับต้น ๆ ปัจจุบัน (เดือนมิถุนายน 2561) Bitcoin Cash มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 4.5 แสนล้านบาท
3. Ethereum (ETH)
Vitalik Buterin เป็นผู้ที่พัฒนาเงินสกุล Ethereum ขึ้นมาในปี 2556 จนทำให้เขาได้รับการยอมรับอย่างสูงในวงการเงินดิจิทัล ด้วยความสามารถอันโดดเด่นของ Ethereum ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลายธุรกรรม โดยเฉพาะการเป็นฐานในการระดมทุนทำ ICO (Initial Public Offering) ของเงินดิจิทัลสกุลใหม่ ๆ ทั่วโลก
อีกทั้ง Ethereum ยังถูกยอมรับจากหลายองค์กรชั้นนำ โดยมีการก่อตั้งกลุ่มที่ชื่อว่า EEA หรือ Enterprise Ethereum Alliance เพื่อร่วมกันพัฒนาวิจัยเพิ่มความสามารถของ Ethereum ซึ่งปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 116 บริษัท เต็มไปด้วยบริษัทชื่อดังมากมาย ทั้ง Microsoft, JP Morgan, Toyota และ Intel ทำให้ปัจจุบัน (มิถุนายน 2561) Ethereum มีมูลค่าสูงถึง 48,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 1.5 ล้านล้านบาท เป็นรองแค่บิทคอยน์เท่านั้น
4. Ethereum Classic (ETC)
Ethereum Classic เป็นอีกหนึ่งสกุลเงินที่แยกตัวออกมาจาก Ethereum เพราะทีมพัฒนาบางกลุ่ม ไม่เห็นด้วยกับเรื่องการแก้ปัญหาของ Ethereum ที่ถูกแฮกระบบ จึงออกมาพัฒนา Ethereum Classic ในปี 2559 ซึ่งปัจจุบัน (เดือนมิถุนายน 2561) มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว 44,000 ล้านบาท
5. Litecoin (LTC)
เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีจุดเด่นในเรื่องของความเร็วในการประมวลผลทำธุรกรรมต่าง ๆ ซึ่งว่ากันว่าเร็วกว่า Bitcoin ถึง 4 เท่า แถมค่าธรรมเนียมยังถูกกว่าอีกด้วย ซึ่ง Litecoin ถูกพัฒนามาตั้งแต่ปี 2554 โดย Charlie Lee อดีตวิศวกรของ Google และปัจจุบันถูกขุดพบไปแล้วประมาณ 56 ล้านเหรียญ คิดเป็นมูลค่าราว 5,500 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.7 แสนล้านบาท
6. Ripple (XRP)
Ripple เป็นเงินดิจิทัลที่แตกต่างจากสกุลเงินอื่น ๆ เพราะออกแบบภายใต้ระบบ Private Blockchain โดยมีบริษัท Ripple เป็นผู้ดูแลปริมาณเงินในระบบทั้งหมด ทำให้นักลงทุนไม่สามารถขุดได้ ด้วยเหตุผลที่ต้องการให้ Ripple มีความเสถียรและเป็นเงินดิจิทัลหลักสำหรับใช้แลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
จึงทำให้ Ripple เป็นที่ยอมรับในวงกว้างของสถาบันการเงินและบริษัทชั้นนำทั่วโลก ทั้ง Google, SBI Group, Standard Chartered และ Seagate ไม่เว้นแม้แต่สถาบันการเงินในไทย อย่างธนาคารไทยพาณิชย์ ก็ได้มีการเข้าไปลงทุนกับ Ripple ศึกษาการใช้เทคโนโลยีทางการเงิน (Fintech) เพื่อพัฒนาการโอนเงินข้ามประเทศผ่านระบบออนไลน์ให้สะดวก รวดเร็ว และลดค่าใช้จ่ายให้มากยิ่งขึ้น
7. Stellar (XLM)
Stellar เป็นสกุลเงินที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจาก Ripple ที่มีจุดประสงค์เพื่อเป็นเงินดิจิทัลสำหรับถ่ายโอนแลกเปลี่ยนกับสกุลเงินหลัก แต่จุดที่ Stellar แตกต่างออกไปคือการออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานของคนทั่วไป ที่ถ่ายโอนเงินจำนวนไม่มาก ตรงกันข้ามกับ Ripple ที่จะเน้นกลุ่มองค์กรและสถาบันการเงินเป็นหลัก
นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้ Stellar เริ่มน่าสนใจขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือการประกาศความร่วมมือกับ IBM บริษัทไอทีรายใหญ่ของโลก เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม Blockchain Banking Solution ที่มีเป้าหมายลดระยะเวลาการทำธุรกรรมชำระเงินข้ามประเทศ จึงทำให้ Stellar เป็นสกุลเงินที่หลายคนกำลังจับตามอง
bottom of page